เรื่องเล่าในจิตนาการหลังจากทำการบ้าน

เราควรมองลูกค้าเป็นแบบไหน? และ เราควรมองตัวเองเป็นแบบไหน?

คำถามสั้นๆกลางห้องประชุมสร้างความเงียบให้ปกคลุมทั้งห้อง ในใจของนักขายเริ่มจิตนาการไปต่างๆนาๆ และเชื่อว่าหลายคนที่ได้ยินคำถามนี้คงเริ่มจิตนาการแล้วว่าเราควรมองลูกค้าเป็นแบบไหน? และเราควรมองตัวเองเป็นแบบไหน?

ไม่นานนัก เสียงทุ้มกังวาลที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังของวิทยากรก็พูดขึ้นมาว่าสำหรับมือใหม่แนะนำให้จิตนาการอาชีพนี้เหมือนนิทานเทพารักษ์กับคนตัดฟืน และวันนี้เราคงไม่จำเป็นต้องเล่านิทานเรื่องนี้ให้ฟัง ถ้าคนไม่รู้จักให้ลองถามคนข้างๆที่เข้าใจว่า “หมายความว่าอย่างไร”

ประเด็นสำคัญของมือใหม่หลายๆคนที่รู้จักนิทานเรื่องนี้ดี ตอนนี้คงเริ่มสบถในใจว่าถ้าห้องประชุมนี้เป็นเหมือนป่าผืนใหญ่ ฉันนี้แหละเป็นคนตัดฟืนที่ดีที่สุดในป่าแห่งนี้เลย แต่ทำไมเทพารักษ์ไม่เคยให้ขวานทองคำ หรือขวานเงิน บางครั้งท่านยังแกล้งไม่งมขวานธรรมดาๆให้อีกช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย... และแอบชำเลืองมองคนตัดฟืนคนอื่นได้ขวานทองเป็นกอบเป็นกำ สิ่งนี้คือประเด็นสำคัญที่เราจะมาคุยกันวันนี้

“เรา”คิดว่า”เรา”เป็นคนตัดฟืนที่ดีแล้ว แต่ทำไมถึงยังขายไม่ได้ ทำไมโลกไม่สวยงามเหมือนในนิทาน นักขายทุกท่านในที่นี้น่าจะทราบอยู่ในใจทุกคนว่าโลกความจริงย่อมไม่เหมือนในนิทาน เราจะเปลี่ยนนิทานให้เป็นความจริงได้อย่างไร ปัจจัยอะไรที่ขาดไป ที่ทำให้ทุกอย่าง ไม่เป็นอย่างที่จะเป็น

ปัจจัยที่สำคัญนั้นก็คือ “ทักษะการขาย” และวันนี้จะมอบจุดเริ่มต้นสิ่งนี้ให้กับทุกท่านที่ฟังอย่างใส่ใจ…

“จงพูดความจริงแม้สิ่งนั้นจะทำให้คุณเสียเปรียบ ไม่มีอาชีพไหนคู่ควรกับการโกหก”

หากใครใช้ ”พลังแห่งความจริง” ใน ”การสื่อสาร” เป็นแล้ว

ย่อมรู้ดีว่า...
“มันทรงพลังแค่ไหน”

“ความจริง” ไม่ใช่แค่ ”เนื้อหา”

”ความจริงที่สัมผัสได้” จะทำให้ผู้ฟัง”เชื่อใจ”

“ความจริง คือเส้นทางเดียวสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน”

“คุณจะต้องมองเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่น หากคุณต้องการทำงานให้ก้าวหน้าในธุรกิจนี้”

“คุณรู้ว่าพอคุณอ้าปากพูดเรื่องประกันชีวิต…คนก็จะไม่อยากฟังคุณ แต่ทั้งหมดนั้น เป็นความจริงแท้หรือไม่?”

“ถ้าคุณกลัวการพบปะกับใครบางคน คุณต้องถามตัวเองว่านี่เป็นความจริงแท้…หรือเป็นทางออกง่ายๆ ที่ตัวเราหลีกเลี่ยง”

ความจริงทำให้เราไม่ต้องหลบไม่ต้องแกล้งเป็นใคร แค่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่

ให้ลองจิตนาการในจิตของ”เรา” ว่า”เรา”โทรหา”คนรู้จัก”

หากเป็นหมอจบใหม่อาจจะพูดว่า 

A : ‘ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง และ ขอคุยเรื่องสุขภาพซัก5นาทีได้ไหม?‘

แน่นอนเสียงจากปลายสายย่อมตอบว่า 

P :‘ช่วงนี้ปกติดี สบายดี กินได้ นอนหลับ ช่วงนี้ดูแลตัวเองดี หมอไม่ต้องห่วง‘ 

แต่ความจริง”เรา”ก็”รู้“ และหมอทุกคนก็”รู้“ว่ามันไม่ใช่

เพราะแค่ความ ”เข้าใจ” เรื่องกิน กับ เรื่องนอน คนทั่วไปย่อม”เข้าใจ”ไม่ตรงกับคนที่เป็นหมอ

ไม่อย่างนั้นคนไข้คงไม่เต็มโรงพยาบาล เราจะมีวิธีสื่อสารอย่างไรให้ความจริงปรากฏขึ้นในใจ

A : “เวลาที่คนไข้ของผมบอกว่าปกติดี... มันหมายถึงว่า ทุกอย่างกำลังดี หรือว่า...แค่ยังไม่แย่?” ผมไม่รู้ว่าการกินหรือการนอนของคุณเป็นอย่างไร ผมขอข้อมูลเพิ่มเติมส่วนนี้ได้ไหม และถ้าวันไหนว่างๆเดี๋ยวผมไปหา เราคุยกันเรื่องนี้คิดว่าดีไหม...”

“เรา” สามารถใช้ ”พลังแห่งความจริง“ และ “พลังแห่งความดี” เหมือน ”หมอ” ที่อยู่ในจิตของ”เรา”ได้ไหม…

“ทำไมเราถึงอยู่ในธุรกิจนี้? เพื่อช่วยชีวิตผู้คน... เพื่อช่วยหญิงหม้ายและลูกของเธอ... เพื่อเด็กกำพร้า... เพื่อช่วยประชาชนประหยัดภาษี... เพื่อช่วยให้คนออมเงิน”

“พลังแห่งความดี จะทำให้คนแต่ละคนเป็นเจ้าของประกันชีวิต”

“ใช้พลังแห่งความดี เพื่อประโยชน์ของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรา”

พลังแห่งความดีจะชนะความกลัว

พลังแห่งความดีจะช่วยให้นักขายมือใหม่ กล้า”ยก…หู” และ กล้า”ก้าวไปพบ…ผู้มุ่งหวัง”

“พลังแห่งความจริง พลังแห่งความดี”

สองคำนี้…

คือสิ่งที่เราจะได้ยินบ่อยที่สุด…

และ…ควรใช้บ่อยที่สุด

“จงใช้พลังแห่งความจริง และพลังแห่งความดี”

เสียงเบาๆ…ในหัว…แต่ยังดัง…ก้อง…เข้าไปในหัวใจ…

Cr.หนังสือ “สู่ความเป็นตัวแทนสมบูรณ์แบบ”